Wednesday, March 9, 2016

เมลาโทนิน ช่วยให้หลับดี..จริงหรือ?

Healthier U Happier :



"เมลาโทนิน" ฮอร์โมนแห่งรัตติกาล (Melatonin The darkness hormone)

เมลาโทนิน คืออะไร?
เป็นฮอร์โมนในระบบประสาทที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ ผลิตจากต่อมไพเนียลซึ่งอยู่บริเวณกึ่งกลางของสมองส่วนซีรีบรัม (Cerebrum) ซีกซ้ายและซีกขวา มีขนาดเท่ากับเมล็ดข้าว มีสีแดงปนน้ำตาล ตรวจพบได้ในกระแสเลือด น้ำหล่อเลี้ยงสมอง และไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid) และยังสามรถสร้างจากเนื้อเยื่อส่วนอื่นของร่างกายได้อีก เช่น เรติน่า (Retina) เซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟชัยท์ (Lymphocytes) และในระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal tract) เป็นต้น

เมลาโทนินเกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตอย่างไร?

ต่อมไฟเนียลผลิตเมลาโทนินโดยอาศัยความมืดเป็นตัวกระตุ้น และถูกยับยั้งโดยแสงสว่าง ซึ่งระดับของเมลาโทนินจะเปลี่ยนแปลขึ้นหรือลงตามวัฏจักรภายใน 24 ชั่วโมง หรือที่เรียกว่า "ระบบนาฬิกาชีวิต" (Circadian Rhythm) โดยต่อมไพเนียลจะเริ่มสร้างเมลาโทนินจากการรับรู้ความมืดผ่านดวงตา จนมีปริมาณสูงสุดในช่วงเวลา 02.00-04.00 น. แล้วจะสร้างลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง 07.00-08.00 น.

ระดับเมลาโทนินในกระแสเลือดจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละช่วงวัย ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาจะได้รับเมลาโทนินผ่านทางรกของมารดา แต่เมื่อทารกกำเนิด ต่อมไพเนียลของทารกจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนจึงจะเจริญจนผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้และจะผลิตเพิ่มมากจนถึงระดับสูงสุดในช่วงอายุ 1-3 ขวบ และหลังจากนั้นจะลดต่ำลงโดยเฉพาะช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่นเมลาโทนินจะลดลงมาก ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการของระบบสืบพันธุ์ของร่างกายที่เข้ามาแทนที่


เมื่ออายุมากขึ้นระดับฮอร์โมนเมลาโทนินจะยิ่งลดลงจนอาจวัดค่าไม่ได้เลยในวัย 70-80 ปี แสดงให้เห็นว่า ระดับฮอร์โมนเมลาโทนินที่ลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้นอาจมีความสัมพันธ์กับกลไกการชราภาพ โดยเชื่อว่าเมลาโทนิน อาจช่วยชะลอความชราได้ โดยผ่านกระบวนการกำจัดอนุมูลอิสระและการป้องกันการเกิด Oxidative Stress


บทบาทของฮอร์โมนเมลาโทนิน
เมลาโทนินได้ชื่อว่าเป็น "ฮอร์โมนแห่งรัตติกาล" ควบคุมระบบนาฬิกาชีวิตและวงจรการนอนของมนุษย์ (Sleep-wake cycle) ช่วยปรับการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ของร่างกาย และควบคุมระบบบเมตาบอลิซึม อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ลดการปวด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านออกซิเดชั่น

เมลาโทนินมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายในหลายๆ ระบบ ช่วยเรื่องของระบบนาฬิกาชีวิตภายใต้การควบคุมจากแสดง (Light-dark cycle) และช่วยรักษาความผิดปกติของการทำงานของระบบนาฬิกาชีวิตเป็นสำคัญ เช่น ความผิดปกติของการนอนหลับ (Sleep disturbance) หรือความผิดปกติอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฤดุกาล (Seasonal affective disorders)

ข้อดีของเมลาโทนินที่เหนือกว่ายานอนหลับ คือ ไม่มีอาการข้างเดียง เช่น อาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้น (Next-day hangover) อาการถอนยา (Withdrawal effect) หรือภาวะติดยา (Dependence liability) เหมือนกลุ่ม benzodiazepines

สำหรับการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ เช่นความผิดปกติในการนอนหลับ (Sleep disturbance) ความผิดปกติของสมองที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบนาฬิกาชีวิต (Neuropschiatric disorders related to circadian dysphasing) และโรคเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหารอันเนื่องมาจากภาวะดื้ออินสุลิน (Metabolic diseases associated with insulin resistance) เป็นต้น

Cr : ข้อมูล R&D Newslette ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2558

Tuesday, March 8, 2016

นาฬิกาชีวิต สมดุลร่างกาย

Healthier U Happier :


อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายมีการทำงานในเวลาที่แตกต่างกัน หากเราไม่รู้จักบริหารเวลาให้อวัยวะได้ทำงานเป็นปกติในเวลาปกติ ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้อวัยวะต่างๆ เสื่อสภาพเร็วขึ้น...อายุของเราก็จะลดลง...ไปด้วย อวัยวะแต่ละส่วนทำงานกันตอนไหนอย่างไร มาดูกันแต่ละช่วงเวลากัน



01.00-03.00 น. | ช่วงเวลาของตับ 
เวลานี้ควรนอนเพราะตับจะหลั่งสารมีลาโทนิน (melatonin) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งสารมีลาโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endrophin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว โดยหน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1.ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย2.ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00-05.00 น. | ช่วงเวลาของปอด 
เป็นเวลาที่ควรตื่นนอน ลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำ ปอดและผิวจะดีขึ้น
05.00-07.00 น. | ช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ 
เวลานี้จึงเหมาะที่จะขับถ่ายอุจจาระ และควรทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก และดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว หรือดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว+น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ+น้ำมะนาว 4-5 ลูก
07.00-09.00 น. | ช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร 
กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00-11.00 น. | ช่วงเวลาของม้าม 
ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อย มักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครง สาเหตุมาจากม้ามกับตับ ผู้ที่มัก นอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไป จะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย
11.00-13.00 น. | ช่วงเวลาของหัวใจ 
หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ต้องทำให้ใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
13.00-15.00 น. | ช่วงเวลาของลำไส้เล็ก 
ควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อให้ลำไส้ทำงาน โดยลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมอาหาร เช่น วิตามินซี บี โปรตีน  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
15.00-17.00 น. | ช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ 
ควรออกกำลังกายหรืออบตัวให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง  หากอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00-19.00 น. | ช่วงเวลาของไต 
ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้าย จะควบคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน- ไตขวา จะควบคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่มีไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนัก
19.00-21.00 น. | ช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ 
ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูเยื่อมหุ้มหัวใจให้แข็งแรง
21.00-23.00 น. | ช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น 
ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00-01.00 น. | ช่วงเวลาของถุงน้ำดี 
ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำจะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่าถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้น ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น. 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ข้อมูลจาก หนังสือนาฬิกาชีวิต

Friday, March 4, 2016

นอนห้อยหัววันละนิด ช่วยสมองดี ชะลอแก่ หน้าใส

Healthier U Happier :

นอนห้อยหัววันละนิด ช่วยสมองดี ชะลอแก่ หน้าใส



          การนอนห้อยหัวสัก 10 นาที ให้ศีรษะได้มีโอกาสอยู่ต่ำกว่าลำตัวบ้าง เพื่อเลือดจะได้ไหลลงไปเลี้ยงสมอง ใบหน้า รู้หรือไม่ว่า คุณประโยชน์ที่จะได้รับ มีมากเหลือคณา ครอบคลุมทั้งภายนอกและภายใน

สมองฉับไว มองโลกในแง่ดี
  เพราะเซลล์ต่างๆ ของสมองต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ  ดังนั้น การ นอนห้อยหัวจึงช่วยเสริมเติมส่วน ทำให้เลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายอยู่แล้วได้มีโอกาสไหลไปตรงศีรษะได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อเลือดไหลเวียนดี เนื้อเยื้อสมองเนื้อเยื้อเซลล์ก็ได้รับการบำรุงซ่อมแซมเต็มที่ ระบบต่างๆ ก็ทำงานไหลลื่น ส่งผลให้ความคิดฉับไว เป็นระบบระเบียบ ความจำดีขึ้น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ไมเกรน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น
  นอกจากนี้ ยังลดอาการผมหงอก ผมขาว ช่วยให้สีผมกลับมาเป็นสีปกติ และยังทำให้มีความคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี เพราะจะไปช่วยกระตุ้นต่อมหมวกไตที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆ หลายชนิด และส่งผลต่อความรู้สึก ทำให้มีความคิดในแง่บวกมากขึ้น มองโลกในแง่ดีขึ้น แถมลดอาการความเครียดต่างๆ อารมณ์หมองเศร้าอีกด้วย

หน้าเด็ก ผิวใส
  เนื่องจากในระหว่างที่เรานอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดไหลไปบริเวณศีรษะนั้น นอก จากจะทำให้ใบหน้าได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงมีเลือดฝาด เรายังจะได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่ช่วยทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง เต่งตึง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งตรงนี้ เราก็สามารถนวดคลึงใบหน้าเบาๆ เพื่อทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงได้ดีขึ้น เร่งการสร้างเซลล์ผิวหน้าใหม่ ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยและยังช่วยในเรื่องของการยกหน้า (Face Lift) เพราะปกติ กล้ามเนื้อใบหน้าของเราจะถูกดึงไปตามกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก

ปรับสมดุล ความคุมฮอร์โมน
  อย่างที่กล่าวข้างต้นถึงของคุณประโยชน์การนอนห้อยหัวที่มีต่อสมอง และเนื่องจากสมองเป็นแหล่งรวมระบบประสาทและการทำงานต่างๆ ของร่างกาย การ นอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงได้ดีขึ้น จึงเป็นการไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดยังต่อมต่างๆ อีกด้วย อาทิเช่น ต่อมใต้สมองและต่อมไฮโปทาลามัส ที่มีความสำคัญต่อร่างกายและเป็นต่อมสำคัญที่จะไปควบคุมการทำงานของต่อม อื่นๆ ในร่างกาย ป้องกันโรคอัมพาต เพราะนอกจากจะเป็นการส่งเลือดไปเลี้ยงทำให้ไม่เกิดภาวะสมองขาดเลือดแล้ว การให้เลือดแล่นขึ้นใบหน้าจนแดงก่ำ ยังคล้ายเป็นการบริหารท่อเลือดให้ทำงานอยู่เสมอๆ จึงช่วยให้ท่อเลือดไม่อุดตันจากการไม่ได้ใช้งานนั่นเอง
  ทั้งนี้ทั้งนั้น การห้อยหัวยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่นิยมทำและให้ผลคล้ายๆ กัน เช่น โยคะท่าศีรษะอาสนะ (Headstand) หรือ การห้อยหัวด้วยเครื่อง Inversion Table ที่ ช่วยเสริมประโยชน์ในเรื่องของกระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ นอกจากนี้ยังลดอาการไส้เลื่อน ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นเนื่องจากลำไส้อาจมีการเคลื่อนตัว ช่วยสร้างเซลล์กระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้พออายุมากร่างกายยังคงเหมือน ปกติ ไม่เตี้ยลงหรือหลังค่อมเนื่องจากการยืดตัว
  อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อควรระวังผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงหรือความดันโลหิตต่ำและผู้มี อายุมากๆ ควรรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ถ้าในระหว่างที่ทำ 10 นาที ถ้าเกิดอาการหน้ามืด ก็ควรหยุดพักทันที



Cr : sanook.com
    : Zomzaaa