Tuesday, September 20, 2016

Healthier U Happier :

ร่างกายประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็มีเวลาในการทำงานแตกต่างกันไป มาดูกันว่า เวลาใดอวัยวะส่วนใดกำลังทำงาน 
01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ 
เวลานี้ควรนอนเพราะตับจะหลั่งสารมีลาโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งสารมีลาโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endrophin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว โดยหน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1.ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย
2.ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด 
เป็นเวลาที่ควรตื่นนอน ลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำ ปอดและผิวจะดีขึ้น
05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ 
เวลานี้จึงเหมาะที่จะขับถ่ายอุจจาระ และควรทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก และดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว หรือดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว+น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ+น้ำมะนาว 4-5 ลูก
07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร 
กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม 
ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อย มักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครง สาเหตุมาจากม้ามกับตับ ผู้ที่มัก นอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไป จะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย
11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ 
หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ต้องทำให้ใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
13.00-15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก 
ควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อให้ลำไส้ทำงาน โดยลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมอาหาร เช่น วิตามินซี บี โปรตีน  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ 
ควรออกกำลังกายหรืออบตัวให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง  หากอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต 
ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้าย จะควบคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวา จะควบคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่มีไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนัก
19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ 
ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูเยื่อมหุ้มหัวใจให้แข็งแรง
21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น 
ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี 
ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำจะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่าถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
คำแนะจากหนังสือบอกว่า  อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้น ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น. 
         


ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ข้อมูลจาก หนังสือนาฬิกาชีวิต

Monday, April 25, 2016

คอลลาเจน..ช่วยอะไรกับร่างกาย

Healthier U Happier :

อายุเกิน 25 ปี ควรหาคอลลาเจนเสริมร่างกายนะ เพราะยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายของคนเราจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง รวมถึงคนที่ออกกำลังมากๆ ไขข้อจะเสื่อมเร็วกว่าคนทั่วไป





คอลลาเจน คืออะไร (What's collagen?)
คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นสายยาว ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างจากสารโปรตีนโดยทั่วไปเช่นแดียวกับเอนไซม์ เส้นใยคอลลาเจนมีลักษณะเป็นสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันกันมากมาย โดยปกติผิวหนังจะมีคอลลาเจนเป็นโครงสร้างอยู่มาก จึงมีแรงสปริงและยืดหยุ่นดีตามไปด้วย คอลลาเจนนั้นไม่ได้มีอยู่ที่ผิวหนังส่วนนอกเท่านั้น อวัยวะภายในร่างกาย ก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ได้แก่ ผังผืด (Fascia) กระดูกอ่อน เอ็น เอ็นกล้ามเนื้อ และกระดูก คอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “เคราติน”
(ข้อมููล : beauty24store.com)
อลลาเจน ช่วยอะไรร่างกายบ้าง
💦 ชะลอความชรา
💦 ช่วยให้ผิวใส และลดเลือนริ้วรอย
💦 ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น รอยแผลเป็นจางลง
💦 ลดฝ้ากระจุดด่างดำ รอยดำรอยแดงจากสิวจางลง
💦 ลดหน้ามัน ปรับรูขุมขนให้เล็กลง
💦 ลดอาการเจ็บ ปวด บวม และการเสื่อมของข้อต่อ



Wednesday, March 9, 2016

เมลาโทนิน ช่วยให้หลับดี..จริงหรือ?

Healthier U Happier :



"เมลาโทนิน" ฮอร์โมนแห่งรัตติกาล (Melatonin The darkness hormone)

เมลาโทนิน คืออะไร?
เป็นฮอร์โมนในระบบประสาทที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ ผลิตจากต่อมไพเนียลซึ่งอยู่บริเวณกึ่งกลางของสมองส่วนซีรีบรัม (Cerebrum) ซีกซ้ายและซีกขวา มีขนาดเท่ากับเมล็ดข้าว มีสีแดงปนน้ำตาล ตรวจพบได้ในกระแสเลือด น้ำหล่อเลี้ยงสมอง และไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid) และยังสามรถสร้างจากเนื้อเยื่อส่วนอื่นของร่างกายได้อีก เช่น เรติน่า (Retina) เซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟชัยท์ (Lymphocytes) และในระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal tract) เป็นต้น

เมลาโทนินเกี่ยวกับนาฬิกาชีวิตอย่างไร?

ต่อมไฟเนียลผลิตเมลาโทนินโดยอาศัยความมืดเป็นตัวกระตุ้น และถูกยับยั้งโดยแสงสว่าง ซึ่งระดับของเมลาโทนินจะเปลี่ยนแปลขึ้นหรือลงตามวัฏจักรภายใน 24 ชั่วโมง หรือที่เรียกว่า "ระบบนาฬิกาชีวิต" (Circadian Rhythm) โดยต่อมไพเนียลจะเริ่มสร้างเมลาโทนินจากการรับรู้ความมืดผ่านดวงตา จนมีปริมาณสูงสุดในช่วงเวลา 02.00-04.00 น. แล้วจะสร้างลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง 07.00-08.00 น.

ระดับเมลาโทนินในกระแสเลือดจะมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละช่วงวัย ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาจะได้รับเมลาโทนินผ่านทางรกของมารดา แต่เมื่อทารกกำเนิด ต่อมไพเนียลของทารกจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนจึงจะเจริญจนผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินได้และจะผลิตเพิ่มมากจนถึงระดับสูงสุดในช่วงอายุ 1-3 ขวบ และหลังจากนั้นจะลดต่ำลงโดยเฉพาะช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่นเมลาโทนินจะลดลงมาก ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการของระบบสืบพันธุ์ของร่างกายที่เข้ามาแทนที่


เมื่ออายุมากขึ้นระดับฮอร์โมนเมลาโทนินจะยิ่งลดลงจนอาจวัดค่าไม่ได้เลยในวัย 70-80 ปี แสดงให้เห็นว่า ระดับฮอร์โมนเมลาโทนินที่ลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้นอาจมีความสัมพันธ์กับกลไกการชราภาพ โดยเชื่อว่าเมลาโทนิน อาจช่วยชะลอความชราได้ โดยผ่านกระบวนการกำจัดอนุมูลอิสระและการป้องกันการเกิด Oxidative Stress


บทบาทของฮอร์โมนเมลาโทนิน
เมลาโทนินได้ชื่อว่าเป็น "ฮอร์โมนแห่งรัตติกาล" ควบคุมระบบนาฬิกาชีวิตและวงจรการนอนของมนุษย์ (Sleep-wake cycle) ช่วยปรับการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ของร่างกาย และควบคุมระบบบเมตาบอลิซึม อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ลดการปวด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านออกซิเดชั่น

เมลาโทนินมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายในหลายๆ ระบบ ช่วยเรื่องของระบบนาฬิกาชีวิตภายใต้การควบคุมจากแสดง (Light-dark cycle) และช่วยรักษาความผิดปกติของการทำงานของระบบนาฬิกาชีวิตเป็นสำคัญ เช่น ความผิดปกติของการนอนหลับ (Sleep disturbance) หรือความผิดปกติอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฤดุกาล (Seasonal affective disorders)

ข้อดีของเมลาโทนินที่เหนือกว่ายานอนหลับ คือ ไม่มีอาการข้างเดียง เช่น อาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้น (Next-day hangover) อาการถอนยา (Withdrawal effect) หรือภาวะติดยา (Dependence liability) เหมือนกลุ่ม benzodiazepines

สำหรับการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ เช่นความผิดปกติในการนอนหลับ (Sleep disturbance) ความผิดปกติของสมองที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบนาฬิกาชีวิต (Neuropschiatric disorders related to circadian dysphasing) และโรคเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหารอันเนื่องมาจากภาวะดื้ออินสุลิน (Metabolic diseases associated with insulin resistance) เป็นต้น

Cr : ข้อมูล R&D Newslette ฉบับที่ 1 มกราคม - มีนาคม 2558

Tuesday, March 8, 2016

นาฬิกาชีวิต สมดุลร่างกาย

Healthier U Happier :


อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายมีการทำงานในเวลาที่แตกต่างกัน หากเราไม่รู้จักบริหารเวลาให้อวัยวะได้ทำงานเป็นปกติในเวลาปกติ ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้อวัยวะต่างๆ เสื่อสภาพเร็วขึ้น...อายุของเราก็จะลดลง...ไปด้วย อวัยวะแต่ละส่วนทำงานกันตอนไหนอย่างไร มาดูกันแต่ละช่วงเวลากัน



01.00-03.00 น. | ช่วงเวลาของตับ 
เวลานี้ควรนอนเพราะตับจะหลั่งสารมีลาโทนิน (melatonin) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งสารมีลาโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endrophin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว โดยหน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1.ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย2.ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00-05.00 น. | ช่วงเวลาของปอด 
เป็นเวลาที่ควรตื่นนอน ลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำ ปอดและผิวจะดีขึ้น
05.00-07.00 น. | ช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ 
เวลานี้จึงเหมาะที่จะขับถ่ายอุจจาระ และควรทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก และดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว หรือดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว+น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ+น้ำมะนาว 4-5 ลูก
07.00-09.00 น. | ช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร 
กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00-11.00 น. | ช่วงเวลาของม้าม 
ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อย มักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครง สาเหตุมาจากม้ามกับตับ ผู้ที่มัก นอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไป จะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย
11.00-13.00 น. | ช่วงเวลาของหัวใจ 
หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ต้องทำให้ใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
13.00-15.00 น. | ช่วงเวลาของลำไส้เล็ก 
ควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อให้ลำไส้ทำงาน โดยลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมอาหาร เช่น วิตามินซี บี โปรตีน  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
15.00-17.00 น. | ช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ 
ควรออกกำลังกายหรืออบตัวให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง  หากอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00-19.00 น. | ช่วงเวลาของไต 
ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้าย จะควบคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน- ไตขวา จะควบคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่มีไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนัก
19.00-21.00 น. | ช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ 
ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูเยื่อมหุ้มหัวใจให้แข็งแรง
21.00-23.00 น. | ช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น 
ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00-01.00 น. | ช่วงเวลาของถุงน้ำดี 
ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำจะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่าถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้น ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น. 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ข้อมูลจาก หนังสือนาฬิกาชีวิต

Friday, March 4, 2016

นอนห้อยหัววันละนิด ช่วยสมองดี ชะลอแก่ หน้าใส

Healthier U Happier :

นอนห้อยหัววันละนิด ช่วยสมองดี ชะลอแก่ หน้าใส



          การนอนห้อยหัวสัก 10 นาที ให้ศีรษะได้มีโอกาสอยู่ต่ำกว่าลำตัวบ้าง เพื่อเลือดจะได้ไหลลงไปเลี้ยงสมอง ใบหน้า รู้หรือไม่ว่า คุณประโยชน์ที่จะได้รับ มีมากเหลือคณา ครอบคลุมทั้งภายนอกและภายใน

สมองฉับไว มองโลกในแง่ดี
  เพราะเซลล์ต่างๆ ของสมองต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ  ดังนั้น การ นอนห้อยหัวจึงช่วยเสริมเติมส่วน ทำให้เลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายอยู่แล้วได้มีโอกาสไหลไปตรงศีรษะได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อเลือดไหลเวียนดี เนื้อเยื้อสมองเนื้อเยื้อเซลล์ก็ได้รับการบำรุงซ่อมแซมเต็มที่ ระบบต่างๆ ก็ทำงานไหลลื่น ส่งผลให้ความคิดฉับไว เป็นระบบระเบียบ ความจำดีขึ้น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ไมเกรน เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น
  นอกจากนี้ ยังลดอาการผมหงอก ผมขาว ช่วยให้สีผมกลับมาเป็นสีปกติ และยังทำให้มีความคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี เพราะจะไปช่วยกระตุ้นต่อมหมวกไตที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆ หลายชนิด และส่งผลต่อความรู้สึก ทำให้มีความคิดในแง่บวกมากขึ้น มองโลกในแง่ดีขึ้น แถมลดอาการความเครียดต่างๆ อารมณ์หมองเศร้าอีกด้วย

หน้าเด็ก ผิวใส
  เนื่องจากในระหว่างที่เรานอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดไหลไปบริเวณศีรษะนั้น นอก จากจะทำให้ใบหน้าได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงมีเลือดฝาด เรายังจะได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่ช่วยทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง เต่งตึง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ซึ่งตรงนี้ เราก็สามารถนวดคลึงใบหน้าเบาๆ เพื่อทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงได้ดีขึ้น เร่งการสร้างเซลล์ผิวหน้าใหม่ ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยและยังช่วยในเรื่องของการยกหน้า (Face Lift) เพราะปกติ กล้ามเนื้อใบหน้าของเราจะถูกดึงไปตามกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก

ปรับสมดุล ความคุมฮอร์โมน
  อย่างที่กล่าวข้างต้นถึงของคุณประโยชน์การนอนห้อยหัวที่มีต่อสมอง และเนื่องจากสมองเป็นแหล่งรวมระบบประสาทและการทำงานต่างๆ ของร่างกาย การ นอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงได้ดีขึ้น จึงเป็นการไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดยังต่อมต่างๆ อีกด้วย อาทิเช่น ต่อมใต้สมองและต่อมไฮโปทาลามัส ที่มีความสำคัญต่อร่างกายและเป็นต่อมสำคัญที่จะไปควบคุมการทำงานของต่อม อื่นๆ ในร่างกาย ป้องกันโรคอัมพาต เพราะนอกจากจะเป็นการส่งเลือดไปเลี้ยงทำให้ไม่เกิดภาวะสมองขาดเลือดแล้ว การให้เลือดแล่นขึ้นใบหน้าจนแดงก่ำ ยังคล้ายเป็นการบริหารท่อเลือดให้ทำงานอยู่เสมอๆ จึงช่วยให้ท่อเลือดไม่อุดตันจากการไม่ได้ใช้งานนั่นเอง
  ทั้งนี้ทั้งนั้น การห้อยหัวยังมีอีกหลากหลายรูปแบบที่นิยมทำและให้ผลคล้ายๆ กัน เช่น โยคะท่าศีรษะอาสนะ (Headstand) หรือ การห้อยหัวด้วยเครื่อง Inversion Table ที่ ช่วยเสริมประโยชน์ในเรื่องของกระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อต่างๆ ให้ทำงานเป็นปกติ นอกจากนี้ยังลดอาการไส้เลื่อน ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นเนื่องจากลำไส้อาจมีการเคลื่อนตัว ช่วยสร้างเซลล์กระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้พออายุมากร่างกายยังคงเหมือน ปกติ ไม่เตี้ยลงหรือหลังค่อมเนื่องจากการยืดตัว
  อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อควรระวังผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงหรือความดันโลหิตต่ำและผู้มี อายุมากๆ ควรรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ถ้าในระหว่างที่ทำ 10 นาที ถ้าเกิดอาการหน้ามืด ก็ควรหยุดพักทันที



Cr : sanook.com
    : Zomzaaa

Wednesday, December 23, 2015

โรคขาดโปรตีนและพลังงาน

Healthier U Happier :

          เป็นโรคขาดสารอาหารชนิดหนึ่งที่เกิดจากร่างกายได้ทั้งพลังงานและโปรตีนไม่พอ เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เพราะเป็นวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ต้องการสารอาหารต่างๆ ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งหน่วยมากกว่าวัยอื่นๆ ถ้าเด็กได้อาหารซึ่งให้โปรตีนและพลังงานไม่พอ จะเป็นในด้านคุณภาพหรือปริมาณ ก็ทำให้โรคขาดโปรตีนและพลังงานได้ ลักษณะอาการของโรคนี้ที่เห็นแตกต่างกันอย่างชัดเจน 2 รูป แบบคือ ควาชิออร์กอร์ (Kwashiorkor) และ มาราสมัส (Merasmus)



          ควาชิออร์กอร์ (Kwashiorkor) เป็นโรคขาดโปรคตีนและพลังงานประเภทที่มีการขาดโปรตีนอย่างมาก อาการแสดงต่างๆ ที่ตรวจพบเป็นผลจากร่างกายมีโปรตีนไม่เพียงพอ เด็กมีอาการบวม เห็นได้ชัดที่ขา 2 ข้าง เส้นผมเปราะและหลุดร่วงง่าย ผิวหน้าบางลอกหลุดง่าย ตับโต เด็กมีอาการซึมและดูเศร้า ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ แย่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
          ชื่อ ควาชิออร์กอร์ นี้ได้รับการขนานนามเมื่อ พ.ศ. 2476 โดยแพทย์หญิง Williams ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอังกฤษและไปทำงานประเทศกานาในทวีปแอฟริกา ในสมัยนั้นกานายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แฃะพบเด็กชาวกานาที่อาศัยอยู่ในบริเวณเมืองอักกราป่วยเป็นโรคนี้กันมาก คำว่าความชิออร์กอร์เป็นคำของชาวพื้นเมืองที่นั่น มีความหมายว่าการเจ็บป่วยของเด็กผู้เป็นพี่เมื่อแม่คลอดน้อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะแม่ต้องให้น้ำนมตนเองแก่ลูกที่เกิดมาใหม่ส่วนเด็กผู้พี่ก็ไม่ได้นมแม่อีกต่อไป อาหารที่กินอยู่มีแต่แป้ง มีโปรตีนไม่พอ โรคนี้มักพบในเด็กอายุมากกว่า 1 ปีไปแล้ว 
          มาราสมัส เป็นคำกรีก หมายถึง การสูญเสีย เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงานประเภทหนึ่งที่ขาดพลังงานและโปรตีน เด็กมีแขนขาลีบเล็ก เพราะทั้งไขมันและกล้ามเนื้อถูกเผาผลาญมาใช้เป็นพลังงานเพื่อการอยู่รอด ผิวหนังหุ้มกระดูก เหี่ยวย่นเหมือนหนังคนแก่ ไม่มีอาการบวม ตับไม่โต มารามัสมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เนื่องจากมีการหย่านมไว เด็กได้รับการเลื้ยงดูด้วยอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น นมข้นหวาน แถมยังผสมแบบเจือจางเลยทำให้ขาดพลังงานและโปรตีน
          ถึงแม้โรคขาดโปรตีนและพลังงาน มีลักษณะเด่นชัดแยกได้เป็น 2 พวกตามที่กล่าวแล้ว เด็กที่เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน อาจมีลักษณะที่ผสมกันทั้งสองอย่างในเด็กคนเดียวกันก็ได้

โภชนาการที่ไม่ดี..ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

Healthier U Happier :

มาดูกันว่า เรามีพฤติกรรมจัดอยู่ในข้อเหล่านี้หรือไม่


1. มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแย่
เช่น สูบบุหรี่จัด หรือติดแอลกอฮอล์ ไลฟ์สไตล์เช่นนี้ เทียบได้กับการสะสมพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว และยังมีพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เช่น กินอาหารไม่เป็นเวลา การกินอาหารแบบเร่งรีบ จึงเคี้ยวไม่ละเอียด กินอาหารด้วย อาการเครียด พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ร่างกายกายดูดซึมสารอาหารไม่ได้เต็มที

2. ภาวะร่างกายสูญเสียพลังงาน
เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงสูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือร่างกายปฏิเสธไม่รับอาหารเพื่อใช้การสะสมความแข็งแรงเติมความสมบูรณ์ให้กับร่างกาย

3. อยู่ท่ามกลางสภาวะเป็นพิษ
เช่น ร่างกายสะสมมลพิษไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนกำลังลงและใช้เวลานานกว่าร่างกายจะขับออกมาทำให้สุขภาพอ่อนแอง่ายกว่าปกติ

4. กระบวนการแปรรูปอาหาร
เช่น การกินอาหารในภัตตาคาร หรือในร้านอาหารตามสั่งเป็นประจ า ซึ่ง เราไม่สามารถรู้ได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมใดเพิ่มเติมมาในจานอาหารทำให้เราไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วน (สุธารัชฎ์, 2555)

ใครมีพฤติกรรมแบบนี้ ปรับเสียนะคะ สุขภาพดีเราสร้างได้ เพียงแค่ปรับค่ะ


จากบทความคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คืออะไร

Healthier U Happier :

หมายความว่า

          ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ รับประทานนอกเหนือจากการรับประทานอาหารตามปกติ ซึ่งมีสารอาหารหรือสารอื่นเป็นองค์ประกอบ อยู่ในรูปแบบเม็ด แคปซูลผง เกล็ด ของเหลว หรือ ลักษณะอื่น ซึ่งมิใช่รูปแบบอาหารตามปกติ (conventional foods) สำหรับผู้บริโภคที่คาดหวังประโยชน์ทางด้านส่งเสริมสุขภาพ (สุรันทร์, 2554)



          ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีการจำหน่ายแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะจำหน่ายโดยตรงต่อผู้บริโภคในลักษณะขายตรงและมีการโฆษณาเพื่อส่งเสริมการขายที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า จำเป็นต้องรับประทาน หรือโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณว่ามีผลในการป้องกันและรักษาโรค อาจมีผลทำให้ ผู้บริโภคหลงเชื่อคำโฆษณาเหล่านั้น ละเลยการดูแลรักษาสุขภาพ และเสียโอกาสที่จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

          ข้อเท็จจริงแล้วผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจัดเป็นอาหารไม่ใช่ยา จึงไม่มีสรรพคุณในการป้องกันบำบัด หรือรักษาโรค และเป็นผลิตภณัฑ์สำหรับผู้บริโภคที่มีสุขภาพร่างกายปกติไม่ใช่ผู้ป่วยและเป็นเพียงผลิตภัณฑ์รับประทานนอกเหนือจากอาหารปกติสำหรับผู้บริโภคที่คาดหวังประโยชน์ทางด้านสุขภาพเท่านั้น (สำนักอาหาร, 2550)

          จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ผู้คนจะหันมาใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิง เพราะมีความสนใจใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในเรื่องความสวยความงาม และใช้ในปริมาณที่เกินความจำเป็น ซึ่งในอดีตนั้นไม่มีความจำเป็นเลยที่เราต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ เหล่านี้ (Paleodietguru, 2012)

          สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ถึงแม้ว่าวิตามินและเกลือแร่อาจจะมีอันตรายน้อย แต่เมื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผ่านขั้นตอนต่างๆ แล้ว ก็ยากที่จะทราบถึงอันตรายของสิ่งเหล่านี้ได้ คือ แหล่งที่มาของวัสดุที่ใช้ในการผลิต แล้วผลิตภัณฑ์แต่ล่ะชุดนั้นมีคุณค่าคงเดิมหรือไม่ ถ้ากระบวนการมีน้อย หรือมากเกินไปจะมีผลทำให้สารออกฤทธิ์อะไรบ้างหรือเปล่า และถ้ำมีกระบวนการอื่นๆ เข้ามาแทรกที่อาจจะทำให้เกิดสารปนเปื้อนอันไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจมีอันตรายจากขั้นตอนต่างๆเ หล่านี้ได้ จึงต้องผ่านกระบวนการ ตรวจสอบของส านักงานอาหารและยาก่อน (Iserloh, 2009)

          และเราต้องคำนึงถึงผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอาหารที่เหมาะกับตัวเองด้วย คือ อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง สุขภาพของเราให้ดีขึ้น ช่วยฟื้นฟูปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุด เช่น อาการนอนไม่หลับ อาการอ่อนเพลีย หรือ แม้แต่การช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายให้แข็งแรง และที่สำคัญคือ ต้องปลอดภัยต่อสุขภาพกระดูก ตับและระบบประสาทของเราด้วย สิ่งสำคัญในการบริโภค คือ ควรกินตามปริมาณ บริโภคที่แนะนำต่อวัน หากเกินปริมาณที่กำหนดไว้อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ (สุธารัชฎ์, 2555)
  


ทำไมต้องบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

Healthier U Happier :


          มีผลงานวิจัยทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงกันระหว่างโภชนาการที่ดีกับการมีสุขภาพดีในระยะยาว คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าโภชนาการที่ดีกับการมีสุขภาพดีในระยะยาว คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าโภชนาการที่สมดุลประกอบด้ยความมหลากหลายของผักผลไม้ ข้าว และธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี และมีปริมาณวิตามินแร่ธาตุ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของโภชนาการที่ดี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจถึงความสำคัญของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร



โภชนาการที่ไม่ดี
          มีเพียงไม่กี่คนที่บริโภคอาหารที่ถูกหลักโภชนาการอย่างสม่ำเสมอ เรามักจะรับประทานอาหารที่ชอบ ไม่หลากหลาย เพียงเพราะต้องการอาหารรสชาติที่เราชอบเท่านั้น

อาหารสำเร็จรูป
          เพื่อความสะดวกสบายเรามักจะรับประทานอาหารสำเร็จรูปแทนอาหารสดและให้ครบ 5 หมู่ กระบวนการแปรรูปอาหารทำให้สารอาหารที่มีตามธรรมชาติสูญเสียไป เช่นเดียวกันกับการปรุงอาหารให้สุกเกินไปในอาหารชนิดเดียวกัน การเพาะปลูกในสถานที่แตกต่างกัน ก็ทำให้มีองค์ประกอบของสารอาหารในปริมาณที่ไม่เท่าก้น

ปราการป้องกันจากอนุมูลอิสระ
          ในแต่ละวันเราต้องเผชิญกับมลพิษและสารพิษเพิ่มขึ้นทุกวัน เซลล์ของเราต้องการการปกป้องที่สูงขึ้น เพื่อต่อต้านความเสื่อมของเซลล์

โภชนาการที่สมบูรณ์
          ต้องมีปริมาณวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่กำหนดตามหลักโภชนาการ (Recommended Dietary Allowance RDA) ตั้งแต่แรกเริ่ม RDAs เป็นแนวทางในการลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากการขาดสารอาหาร เช่น การเกิดโรคกระดูกพรุนจากภาวะขาดแคลเซียม การเกิดโรคเลือดออกตามไรฟันจากภาวะการขาดวิตามินซี

"ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพจะให้สารอาหารหลากหลายในปริมาณสูงสมดุลและอยู่ในรูปแบบที่ร่างกายนำไปใช้ได้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารทดแทนสิ่งที่ขาดไปจากการบริโภคอาหารในแต่ละวัน ทำให้เราดำเนินชีวิตถูกสุขลักษณะ ซึ่งส่งผลให้เรามีสุขภาพดียืนยาว"

Tuesday, December 22, 2015

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร..จำเป็นหรือไม่?


Healthier U Happier :
  
        เนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่ที่เร่งรีบตั้งแต่เช้าจรดเย็น เร่งรีบในทุกๆ เรื่อง ชีวิตจะ slow life หาได้ยากนัก กิจวัตรประจำวันที่ยุ่งเหยิงทำให้หลายๆ คนละเลยการดูแลตนเอง เริ่มตั้งแต่เรื่องการกินอาหารเช้าซึ่งเป็นอาหารมื้อหลัก มักกินอาหารแต่ละมือไม่ตรงเวลา ไม่ครบสามมือ นาฬิกาชีวิตรวนไปหมด ทำให้ร่างกายอ่อนแอและทรุดโทรมลง ส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพในการทำงานเป็นอย่างมาก



           การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐเห็นจะจริงที่สุด ทุกคนอยากให้ตนเองมีสุขภาพที่ดีจะได้มีชีวิตอยู่ได้นานๆ แต่ด้วยวิถีการดำเนินชีวิต รวมถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นไปทำให้หลายคนมีสุขภาพไม่ได้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ทุกวันนี้เราทำงานหนักเพื่อให้ได้เงินมาทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ทำงานจนสุขภาพเสียเพื่อให้ได้เงิน แล้วเงินจำนวนนั้นไปไหนละ!!! ก็เอามารักษาสุขภาพที่ย่ำแย่ไปกับการหาเงินนั่นแหล่ะจะมีอะไรเกินกว่านี้ล่ะ

          ในเมื่อชีวิตประจำวันของแต่ละคนจะกินจะขับถ่ายไม่เป็นเวลาแบบนี้ อาหารที่กินไปก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ครบ 5 หมู่อย่างที่เราร่ำเรียนจำฝังหัวว่าต้องกินให้ได้เท่านี้ ดังนั้นคนถึงแสวงหาหนทางให้ได้มาซึ่งคำว่า "สุขภาพดี" แล้วทำไงละถึงจะกินอยู่ได้อย่างคนมีสุขภาพดี

          "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คนนึกถึง เพื่อให้ตนเองได้รับสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ แล้วจำเป็นไหมละต้องกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร? ถามกลับไปว่าแล้วคุณๆ รู้จักผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันดีแค่ไหน ทำไมต้องกินละ...จำเป็นหรือเปล่าที่ต้องเสียเงินซื้อมากินเนี่ย!!!!

          ภญ.ฐนิตา  ทวีธรรมเจริญ ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลศิริราชด้กล่าวไว้บนเว็บไซต์ Siriraj E-Public Library ว่า "หลายคนคิดว่าอาหารเสริมสะดวกต่อการรับประทาน และทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการ อีกทั้งสามารถชดเชยสารอาหารที่ขาดไปได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด อย่างไรก็ดี ในบางสภาวะของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารมากกว่าปกติ เพราะบางรายแม้จะรับประทานอาหารตามปกติแต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้เท่าเดิมและอาจทำให้ร่างกายเดสภาวะขาดสารอาหารได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมจึงอาจมีความจำเป็น นอกจากนี้หากเรามีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ แต่เลือกรับประทานอาหาร ก็อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดได้เช่นกัน ซึ่งกรณีนี้ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรืออาจเสริมสารอาหารในบางชนิดในส่วนที่ขาดตามความจำเป็น" เห็นไหมคะว่าจริงแล้วก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องกิน แต่หากกินก็จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่จำเป็นในแต่ละวันได้ครบถ้วน แต่ไม่ใช่ว่ากินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสียจนลืมกินอาหารให้ครบ 5 หมู่นะคะ ต้องทำทุกอย่างแต่พอดีค่ะ

          ดังนั้น การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้ได้ผลดีและปลอดภัย ควรจะศึกษาหาข้อมูลผลิตภัณฑ์นั้นๆจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และสำคัญมากๆ เลยนะคะหากคุณเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อนแล้วควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเพื่อความปลอดภัยค่ะ